Stochastic oscillator (STO) เป็นเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์ทางเทคนิคที่นิยมใช้กันมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเทรดเดอร์สายดูกราฟ STO เป็นตัวช่วยในการประเมินสถานการณ์ของราคา โดยอาศัยหลักการเปรียบเทียบระหว่างราคาปิด (closing price) กับช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุดภายในรอบเวลาที่กำหนดค่าของ STO จะแสดงผลเป็นเลขระหว่าง 0 – 100
โดยทั่วไป นิยมตีความว่า
- ค่า STO สูงเกินกว่า 80 อาจเป็นสัญญาณภาวะ oversold (โอเวอร์โซลด์ – ราคาขายออกเยอะเกินไป)
- ค่า STO ต่ำกว่า 20 อาจเป็นสัญญาณภาวะ overbought (โอเวอร์บอท – ราคาซื้อเข้าเยอะเกินไป)
เทคนิคการใช้งาน STO
- การดูเส้น %K ตัดกับเส้น %D (เส้น %D เป็นค่าเฉลี่ยของเส้น %K)
- เมื่อ %K ตัดขึ้นเหนือ %D ที่บริเวณ oversold อาจเป็น สัญญาณซื้อ
- เมื่อ %K ตัดลงมาต่ำกว่า %D ที่บริเวณ overbought อาจเป็น สัญญาณขาย
- การดู Divergence (ไดเวอร์เจนซ์) คือภาวะที่ราคาเคลื่อนที่ไปคนละทิศทางกับ STO ซึ่งอาจเป็นสัญญาณกลับตัวของราคา
- หลักการทำงานของ STO:
STO ทำงานโดยวัดโมเมนตัมของราคา โดยเปรียบเทียบราคาปิดปัจจุบันกับช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด (โดยค่าเริ่มต้นคือ 14 วัน) ค่า STO จะแสดงผลเป็นเลขระหว่าง 0 ถึง 100 โดยสามารถตีความได้ดังนี้
- ค่า STO สูงเกิน 80: แสดงสัญญาณว่าตลาดอยู่ในภาวะ oversold (โอเวอร์โซลด์) หมายความว่าแรงขายมีมาก ราคาอาจถึงจุดต่ำสุดและมีโอกาสที่จะกลับตัวขึ้น
- ค่า STO ต่ำกว่า 20: แสดงสัญญาณว่าตลาดอยู่ในภาวะ overbought (โอเวอร์บอท) หมายความว่าแรงซื้อมีมาก ราคาอาจถึงจุดสูงสุดและมีโอกาสที่จะกลับตัวลง
- การใช้งาน STO:
มีเทคนิคการใช้งาน STO หลายแบบ แต่ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ:
- การดูเส้น %K ตัดกับเส้น %D:
- เมื่อ %K ตัดขึ้นเหนือ %D ที่บริเวณ oversold อาจเป็น สัญญาณซื้อ
- เมื่อ %K ตัดลงมาต่ำกว่า %D ที่บริเวณ overbought อาจเป็น สัญญาณขาย
- การดู Divergence (ไดเวอร์เจนซ์): คือภาวะที่ราคาเคลื่อนที่ไปคนละทิศทางกับ STO ซึ่งอาจเป็นสัญญาณกลับตัวของราคา
- ตัวอย่างการใช้งาน STO: สมมติว่าราคากำลังอยู่ในช่วงขาลง และค่า STO อยู่ที่ 10% แสดงว่าตลาดอยู่ในภาวะ oversold
- กรณีที่ 1:ราคาเริ่มกลับตัวขึ้น และเส้น %K ตัดขึ้นเหนือเส้น %D เป็นสัญญาณว่าอาจมีโอกาสซื้อ
- กรณีที่ 2: ราคาไม่กลับตัวขึ้น แต่ยังคงทรงตัวหรือลงต่อ แม้ว่า STO จะอยู่ในภาวะ oversold ก็ตาม ไม่ควรซื้อทันที ควรรอสัญญาณยืนยันเพิ่มเติม
- ข้อควรระวัง:
- STO เป็นเพียงเครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์เท่านั้น ไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่าราคาจะไปทางไหน
- ควรใช้ประกอบกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ และพิจารณาปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ด้วย
- ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคใดที่จะแม่นยำเสมอ การบริหารความเสี่ยง และการเทรดอย่างมีวินัย ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ